เคยสังเกตตัวเองไหมว่าทำไมเวลาที่รู้สึกเครียด หงุดหงิด หรือไม่มีความสุข เรามักจะอยากหยิบของหวานหรืออาหารขบเคี้ยวมาทานอยู่เสมอ? พฤติกรรมนี้เรียกว่า Emotional Eating หรือการกินตามอารมณ์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายคน และมักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เราจะมาทำความรู้จักกับ Emotional Eating และอธิบายว่าทำไมเมื่อเครียดเราถึงมักเลือกกินของหวาน รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและวิธีการจัดการพฤติกรรมนี้
Emotional Eating คืออะไร?
Emotional Eating คือพฤติกรรมการกินที่ตอบสนองต่ออารมณ์ ไม่ใช่ความหิวที่แท้จริง เช่น เมื่อคุณรู้สึกเครียด กังวล หรือเหงา คุณอาจเลือกที่จะกินขนมหรืออาหารที่มีแคลอรีสูงเป็นวิธีการผ่อนคลายอารมณ์ หรือเพื่อหาความสุขในช่วงเวลานั้น พฤติกรรมนี้พบได้บ่อยในผู้ที่ต้องเจอความกดดันในชีวิตประจำวันหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ชัดเจน
ทำไมเครียดแล้วต้องกินของหวาน?
- ของหวานกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนโดปามีน
ของหวาน เช่น ช็อกโกแลต ขนมเค้ก หรือไอศกรีม มีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นการหลั่ง ฮอร์โมนโดปามีน ในสมอง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกดีและมีความสุข การกินของหวานจึงเปรียบเสมือนการหาทางออกชั่วคราวให้กับความเครียดหรือความรู้สึกแย่ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขขึ้นทันทีหลังจากกิน - ความเครียดส่งผลต่อฮอร์โมนคอร์ติซอล
เมื่อเรารู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่ง ฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความเครียด ฮอร์โมนนี้ทำให้เรามีความต้องการอาหารที่มีพลังงานสูง เช่น ของหวาน อาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารที่มีแป้งมาก เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างรวดเร็ว การกินอาหารประเภทนี้จึงเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายในการจัดการกับความเครียด - ความเชื่อมโยงทางจิตใจกับอาหาร
หลายคนมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับของหวานหรืออาหารโปรดในช่วงวัยเด็ก เช่น การกินเค้กในงานวันเกิด หรือการได้รับขนมจากพ่อแม่ในช่วงเวลาที่พิเศษ ความทรงจำเหล่านี้ถูกผูกเข้ากับความสุข ทำให้เมื่อเราเครียด เรามักหันไปหาอาหารที่ทำให้เรารู้สึกดีในแบบเดียวกับที่เคยประสบมาก่อน - ความสะดวกในการเข้าถึงของหวาน
ในยุคปัจจุบัน ของหวานเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้แต่แอปพลิเคชันส่งอาหาร สิ่งเหล่านี้ทำให้ Emotional Eating เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะเรามีของหวานอยู่ในมือเสมอ เมื่อรู้สึกเครียดก็สามารถหยิบขึ้นมากินได้ทันที
ผลกระทบจาก Emotional Eating
แม้ว่าการกินของหวานในช่วงเวลาที่เครียดอาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในระยะสั้น แต่ผลกระทบที่ตามมาจากการกินเกินความจำเป็นอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ เนื่องจากเมื่อเรากินตามอารมณ์ เรามักจะไม่ควบคุมปริมาณที่เหมาะสม หรือกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
วิธีจัดการกับ Emotional Eating
- ฝึกการรับรู้ถึงอารมณ์ตนเอง
เมื่อเริ่มรู้สึกอยากกินอะไรโดยไม่มีเหตุผล ลองถามตัวเองว่า “ฉันหิวจริงๆ หรือไม่?” หรือ “อารมณ์ในตอนนี้ทำให้ฉันอยากกินหรือเปล่า?” การรับรู้ถึงอารมณ์ของตนเองเป็นขั้นตอนแรกที่ช่วยให้เราควบคุมการกินตามอารมณ์ได้ดีขึ้น - หากิจกรรมทดแทน
หากรู้สึกเครียด ลองหากิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยลดความเครียด เช่น ออกกำลังกาย ทำงานศิลปะ อ่านหนังสือ หรือนั่งสมาธิ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาหาร - จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
พยายามหลีกเลี่ยงการเก็บของหวานหรือขนมไว้ในบ้านมากเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ Emotional Eating เกิดขึ้นได้ง่าย การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้หรือถั่ว อาจช่วยลดความเสี่ยงในการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเมื่อรู้สึกเครียด
Emotional Eating เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อเราตอบสนองต่ออารมณ์ด้วยการกินอาหาร โดยเฉพาะของหวาน เนื่องจากความเครียดทำให้ร่างกายและสมองต้องการสิ่งที่ช่วยสร้างความสุขชั่วคราว อย่างไรก็ตาม การควบคุมพฤติกรรมนี้จำเป็นต้องฝึกการรับรู้ถึงอารมณ์และหาวิธีจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้วิธีอื่นๆ ในการลดความเครียดแทนการพึ่งอาหารไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสุขภาพกาย แต่ยังส่งเสริมสุขภาพจิตในระยะยาวด้วย